อาการร้อนในกวนใจ กินอะไรช่วยได้

อาการร้อนในกวนใจ กินอะไรช่วยได้

 

            วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของ อาการร้อนใน ค่ะ ต้องบอกว่าเจ้าแผลร้อนในนี่ เห็นเล็ก ๆ แต่ก็สร้างปัญหาและความกวนใจให้กับเราไม่น้อยเลยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นร้อนในแต่ละทีนี่ใช้ชีวิตลำบากไปอีกกก จะพูดก็เจ็บ จะกินก็เจ็บ
โถ่ ๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงสาเหตุคร่าว ๆ ของการเกิดร้อนในเพื่อหลีกเลี่ยงและหาวิธีป้องกันค่ะ 

            ร้อนใน คือ แผลที่มักจะเกิดขึ้นที่เนื้อเยื่ออ่อนค่ะ เช่น เหงือก หรือภายในช่องปาก ฯลฯ สาเหตุของอาการร้อนในอาจจะยังไม่มีที่มาชัดเจนมากค่ะ อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ เชื้อแบคทีเรียในปาก เชื้อไวรัส เกิดจากความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การแพ้อาหาร หรือการขาดวิตามินและแร่ธาตุ และอาจจะเกิดจากพฤติกรรมต่าง ๆ ของเรา เช่น การรับประทานอาหารรสจัด อาหารประเภททอดต่าง ๆ เป็นต้น

            อย่างที่เกริ่นไว้นะคะ แผลร้อนในจริง ๆ แล้วไม่ร้ายแรงค่ะ และสามารถหายไปได้เองใน 1-2 สัปดาห์ โดยที่ไม่ต้องรักษา หรือหากอยากให้อาการดีขึ้นในเร็ววันก็สามารถทำได้โดยการแปรงฟันหลังอาหารแต่ละมื้อ การบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือการใช้ยา ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) อีกทั้งยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการของแผลร้อนในได้ ซึ่งก็เป็นวิธีที่ง่ายและใกล้ตัวมาก ๆ เลยล่ะค่ะ นั่นก็คือ การเลือกรับประทานอาหารนั่นเองค่ะ ฮะ จริงเหรอ อาหารเนี่ยนะ ? ใช่ค่ะ อยากรู้แล้วล่ะสิ ว่าเป็นร้อนในกินอะไรหาย ซึ่งอาหารต่อไปที่เรากำลังจะพูดถึง คืออาหารที่ถ้าหากเรารับประทานในช่วงที่เป็นร้อนในแล้วนั้น จะช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วขึ้นค่ะ มีด้วยกันมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น  เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ผักผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น ข้าวโพดอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง ฟักเขียว มะระ

 

 

แตงโม กีวี่ หรือจะรับประทานเป็นน้ำผักผลไม้ก็ได้นะคะ  อาหารที่มีธาตุเหล็กและวิตามินบี 12 สูง เช่น ถั่ว ไข่ สูง  ตับและอาหารทะเล ดื่มน้ำเปล่าให้มาก ๆ เพื่อให้ปากชุ่มชื้นเสมอค่ะ นอกจากนี้น้ำสมุนไพรหลาย ๆ ชนิดก็ช่วยได้นะคะ ไม่ว่าจะเป็น น้ำกระเจี๊ยบ น้ำใบบัวบก น้ำจับเลี้ยง น้ำมะตูม น้ำเก๊กฮวย และอื่น ๆ อีกมากมายค่ะ

            เป็นยังไงบ้างคะ วิธีการรักษาร้อนในนอกจากจะง่ายแล้วยังหาได้ใกล้ ๆ ตัวอีกด้วยนะคะ ถึงแม้อาการร้อนในจะสามารถรักษาได้เอง แต่หากว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือผ่านไปสักระยะแล้วอาการร้อนในยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

           

 

 

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *